เรือใบสีฟ้า จะลงสนามในเกมนี้ ในฐานะแชมป์เก่า หลังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 6 มาครองเมื่อฤดูกาลก่อน ขณะที่ อาร์เซนอล คือทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังทำไปถึง 13 ครั้ง มากที่สุดนับตั้งแต่ฟุตบอลรายการนี้ ก่อตั้งขึ้นมา

อาร์เซนอลมีสถิติในช่วงหลังที่ดีมาก หลังเอาชนะ ลิเวอร์พูลไป 2-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อคืนวันพุธทีผ่านมา แต่พวกเขายังคงอยู่อันดับ 9 ของพรีเมียร์ลีก และต้องลุ้นทีมอื่นๆ ให้พลาด เพื่อได้ไปยูโรป้า ลีก ฤดูกาล 2020/21

อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ ปืนใหญ่ ก็จะได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มของยูโรป้า ลีกทันที และความจริงที่ มิเกล อาร์เตต้า หัวหน้าผู้ฝึกสอนได้พักตัวหลักหลายรายในเกมกับลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเอาจริงแค่ไหน ในการแข่งขันรายการนี้

หลังจากที่เก็บได้แค่ คะแนนเดียว จาก 2 เกมในช่วงวันที่ 7-12 กรกฎาคมที่ ผ่านมา ในการพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส การเอาชนะทีมแชมป์ของทีมจากย่านลอนดอนเหนือ ทำให้ทีมดูดีขึ้น

ไมมีคำถามว่างานของพวกเขาในช่วงซัมเมอร์นี้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าพวกเขาได้แชมป์เอฟเอ คัพ มันจะเป็นงานพิเศษสำหรับสโมสรในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะเมื่อต้องพิจารณาว่า ด่านแรกที่รอพวกเขาอยู่ในตอนนี้ คือการเจอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ หากเข้าชิงชนะเลิศ ไปได้ ก็ต้องรอพบผู้ชนะระหว่าง เชลซี หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ อาร์เซนอล ผ่านทั้ง ลีดส์ ยูไนเต็ด, บอร์นมัธ, ปอร์ทสมัธ และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และหากพวกเขาผ่านเกมนี้ได้ จะเป็นครั้งที่ 21 ที่พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ทันที

โดยครั้งสุดท้ายที่ปืนใหญ่ คว้าแชมป์รายการนี้ เกิดขึ้นในปี 2017 ด้วยการเอาชนะเชลซีไป 2-1 โดยได้ประตูจาก อเล็กซิส ซานเชซ และ อารอน แรมซีย์ ยักษ์ใหญ่จะเมืองหลวง ต้องตกในอีก 2 ปีต่อมา ด้วยน้ำมือของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และพวกเขาเหลืออีกก้าวดียว ที่จะได้กลับไปลุ้นแชมป์

ผลการเจอกับแมนฯซิตี้ ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าไม่ดีเท่าไหร่ หลัง 7 เกมหลังสุด ที่พบกัน ปืนใหญ่ แพ้มารวดทุกนัด และในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ชนะไป 3-0 ทั้งในบ้านและนอกบ้าน

แต่ปืนใหญ่ ก็เคยเจอกับ เรือใบสีฟ้า มาแล้วในรอบรองชนะเลิศ เมื่อฤดูกาล 2016/17 และพวกเขาก็ชนะไป 2-1 ก่อนจะไปเอาชนะ เชลซี ในรอบชิงชนะเลิศ และพวกเขาก็หวังจะทำให้ได้อีกครั้ง ในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม แมนฯซิตี้ ไม่ต้องการปล่อยแชมป์รายการนี้หลุดมือแน่นอน หลงจากที่พวกเขาเสียท่าในพรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูล อย่างไรก็ตาม ทีมของเป็ป กวาร์ดิโอลา ก็คว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ไปในช่วงก่อนหน้านี้แล้ว และยังมีลุ้นในแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากทีรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก พวกเขาบุกไปชนะ เรอัล มาดริด มา 2-1

เส้นทางของ เรือใบสีฟ้า พวกเขาผ่านทั้ง ปอร์ท เวล, ฟูแล่ม, เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ และ นิวคาสเซิลมา และพวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 7 ของพวกเขาในประวัติศาสตร์

และหากพวกเขาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ปีนี้ได้อีก จะทำให้จำนวนที่พวกเขาทำได้ ขยับขึ้นไปเทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล และ แอสตัน วิลล่า ทันที โดยจะมีแค่ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ที่ทำได้มากกว่า

ความจริงที่ว่า ถ้าผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ จะต้องเจอกับทีมอย่างเชลซี หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่รอบรองชนะเลิศ ก็เป็นอีกเกมพิเศษ เพราะเกมในลีกของทั้ง 2 ทีมตอนนี้ แทบจะไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่ทั้งสองก็แค่พยายามรักษาฟอร์ม ประคองทีมให้จบในลีกได้ดีเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ตอนนี้ แมนฯซิตี้ ก็เพิ่งโล่งอก กับ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังศาลมีมติให้พวกเขาไม่โดนแบนจากการเล่นยุโรป เป็นเวลา 2 ปี และพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ได้ดีต่อไปในการเจอกับ อาร์เซนอล ในคืนวันเสาร์นี้

ความพร้อมของทั้งสองทีม

อาร์เซนอล จะไม่มี แบรนด์ เลโน, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, พาโบล มารี และ คัลลัม แชมเบอร์ส ซึ่งทั้งหมดต่างมีอาการบาดเจ็บ ในขณะที่ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ จะชดใช้โทษแบนในเกมนี้ป็นเกมสุดท้าย จากการโดนแบน 3 เกม

ขณะที่ เมซุต โอซิล อาจจะได้โอกาสลงเล่นเกมนี้ แม้จะมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้น แต่ก็อาจจะได้เห็นจอมทัพชาวเยอรมัน ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แม้ทีมจะเล่นในระบบ 3-4-3 และไม่มีตำแหน่งให้เขาเล่นก็ตาม

ด้าน ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง และ ดานี เซบายอส ที่เป็นตัวสำรองในเกมกับ ลิเวอร์พูล คาดว่าจะกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง ด้าน เฮคตอร์ เบเยริน และ ชโคดราน มุสตาฟี ก็น่าจะได้เป็นตัวจริงต่อไป

ในขณะที่เกมรับคนอื่นๆ คีแรน เธียร์นีย์ น่าจะได้โอกาสก่อน เซอัด โคลาซินัช ขณะที่ บูยาโก้ ซาก้า น่าจะเป็นวิงแบ็ค ส่วนสามตัวบน นิโคลาส เปเป้ น่าจะได้ประสานงานกับ อเล็กซองเดร ลากาแซตต์ และ โอบาเมยอง

ด้าน แมนฯซิตี้ เซร์คิโอ อเกวโร ยังไม่พร้อมหลังเข้ารับการผ่าตัดที่หัวเข่า แต่ สภาพทีมยังถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ สำหรับเกมวันสาร์นี้ เพราะทั้ง เควิน เด บรอยน์ และ อายเมริค ลาปอร์กต์ ไม่ได้ลงสนามในเกมล่าสุดกับ บอร์นมัธ และน่าจะกลับมาเป็นตัวจริงในเกมนี้ ด้าน ราฮีม สเตอร์ ลิง ก็จะกลับมาเป็นตัวจริงเช่นกัน

ส่วน เคลาดิโอ บราโบ น่าจะได้รับโอกาสก่อน เอแดร์ซอน เพราะเขาจะได้รับโอกาส ในบอลถ้วยของแมนฯซิต้ ในฤดูกาลนี้ ส่วนแดนหน้า ในช่วงที่ไม่มีอเกวโร กาเบรียล เฆซุส น่าจะได้โอกาส

ขณะที่ ฟิล โฟเด้น และ ริยาด มาห์เรซ น่าจะกลับไปเป็นตัวสำรอง และเปิดทางให้ แบร์นาโด้ ซิลวา ประสานงานกับ สเตอร์ลิง และ เฆซุส ใน 3 ประสานแดนหน้า

คาดการณ์ 11 ตัวจริง อาร์เซนอล

มาร์ติเนซ, มุสตาฟี, ลุยซ์, เธียร์นีย์, เบเยริน, เซบาญอส, ซาก้า, ชาก้า, เปเป้, ลากาแซตต์, โอบาเมยอง

คาร์ดการณ์ 11 ตัวจริง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

บราโว, วอล์คเกอร์, แฟร์นานดินโญ, ลาปอร์กต์, เมนดี้, โรดรี้, กุนโดกัน, เด บรอยน์, สเตอร์ลิง, เฆซุส, แบร์นาโด้

สถิติการพบกันของทั้ง 2 ทีม

อย่างที่บอก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะมาตลอด 7 นัดหลังสุดที่ทั้งสองทีมพบกัน และ ยิงได้ถึง 3 ประตู ใน 3 เกมหลังในพรีเมียร์ลีก เหนือปืนใหญ่

เรือใบสีซ้า เอาชนะ อาร์เซนอล 3-0 ใน คาราบาว คัพ ยัดชิงชนะเลิศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 แต่ ทีมจากลอนดอน ก็เอาชนะได้ ในครั้งล่าสุดที่ทั้งสองทีมพบกับ ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ เมื่อฤดูกาล 2016/17

ทั้งคู่พบกันครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ในนัดแรกหลังจากล็อคดาวน์ เกมนั้นเป็นเกมที่ง่ายสำหรับทีมของกวาร์ดิโอลา หลังเอาชนะไป 3-0 โดยได้จาก สเตอร์ลิง, เด บรอยน์ และ โฟเด้น

คาดการณ์ผล – อาร์เซนอล แพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-2

เราคาดการณ์ว่าเกมนี้จะออกมาสูสี ที่เวมบลีย์ เนื่องจาก แมนฯซิตี้ มีปัญหาพอสมควรนับตั้งแต่รีสตาร์ทมา ขณะที่ อาร์เซนอล กำลังมั่นใจจาก การชนะลิเวอร์พูล มาในเกมล่าสุด แต่มันเป็นเรื่องยาก ที่จะล้างแค้น ทีมของกวาร์ดิโอลา ที่มีสถิติที่ดีในการเจอกับ ปืนใหญ่