นอกจากจะต้องแย่งพื้นที่ตำแหน่งท็อปโฟร์ แล้ว แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี ต้องมาตัดสินกันอีกในเอฟเอ คัพ
ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกทั้งสองทีมมีแต้มห่างกันเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น และนี่ถือเป็นการรีแมตช์ เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2018 ซึ่งชัยชนะนัดนี้ถือเป็นนัดสำคัญสำหรับทั้ง 2 ทีม
แน่นอนว่า ทั้งสองทีม ไม่มีทางยอมหลุดจากท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้แน่นอน โดยปัจจุบัน เชลซี อยู่อันดับ 3 ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในอันดับ 5 แต่มีความต่างระหว่างคะแนน แค่แต้มเดียวเท่านั้น แต่พวกเขาต้องวางมือจากลีกชั่วคราว เมื่อมาปะทะกันที่ เวมบลีย์ ในสุดสัปดาห์นี้
พูดง่ายๆ การเดินทางมาถึง เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ ทั้งสองทีมต่างต้องการที่จะคว้าแชมป์มาครองให้ได้ เพราะดูจากช่วงที่ผ่านมา นี่คือถ้วยที่พวกเขามีลุ้นมากที่สุด ณ เวลานี้ แม้ทั้งสองทีมยังคงอยู่ในเส้นทางของการเล่นฟุตบอลยุโรป ก็ตาม
โดยที่ผ่านมา ปีศาจแดง กับ สิงห์บลู คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองรวมกันทั้งหมด 20 ครั้ง โดย แมนฯยู ทำไปได้ 13 ครั้ง และเป็นทีมที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ มากที่สุด ถึง 21 ครั้ง
ในการแข่งขันครั้งนี้ มีความน่าสนใจสำหรับทั้ง 2 ทีม และนี่เป็นครั้งที่ 30 แล้ว ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เล่นในรอบรอบชนะเลิส ส่วนเชลซี เข้ามาถึงรอบตัดเชือก เป็นครั้งที่ 10 ในช่วง 2 ทศวรรษหลัง
ผู้จัดการทีมของทั้งสองทีม ต่างเคยคว้าแชมป์รายการนี้มาครอง โดย แฟรงค์ แลมพาร์ด เคยได้สมัยเป็นนักเตะทั้งหมด 4 ครั้ง ส่วนโอเล่ กุนนาร์ โซลชา คว้ามาครอง 2 ครั้ง โดยทั้ง 2 คน ต่างต้องการแชมป์แรกในฐานะการเป็นผู้จัดการทีม
ฟอร์มในช่วงหลังของทั้ง 2 ทีม โดยเฉพาะทีมของโซลชา กำลังมั่นใจ หลัง 8 นัด ตั้งแต่รีสตาร์ท กลับมา พวกเขาชนะไป 6 และเสมอ 2 ทำให้ ปีศาจแดงถูกยกให้เหนือกว่า ณ ตอนนี้
โดยปีศาจแดง ไม่แพ้ติดต่อกันมาแล้ว 19 เกมในทุกรายการ ซึ่งนี่เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุด นับตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2010 ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยทำไว้ ด้วยการไม่แพ้ใครติดต่อกัน 29 นัด
มันเป็นเส้นทางที่พวกเขาพยายามเก็บผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมาในแต่ละเกม และสร้างความพอใจให้กับโซลชา เป็นอย่างมาก หากเทียบกับช่วงหลายปีที่ผานมา โดยเฉพาะการประสานงานระหว่าง บรูโน แฟร์นานเดส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโธนี มาร์กซิยาล, เมสัน กรีนวูด และ ปอล ป็อกบา ที่ทำให้เกมรุกของแมนฯยู ออกมาน่าสนใจ
แฟร์นานเดส คือนักเตะคนเดียวจากทั้งหมด ที่ได้เริ่มต้นในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย กับ นอริช ซึ่งไม่น่าแปลกใจกับฟอร์มการเล่นของพวกเขา ที่ในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาต้องออกแรงเหนื่อย และมาได้ประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ นาที 118 จาก แฮร์รี แมคไกวร์
ประตูที่ ทอดด์ แคนท์เวลล์ ทำได้ คือประตูแรกที่ แมนฯยู เสียในเอฟเอ คัพ รอบ 448 นาที หลังจากที่ผ่านมา พวกเขาเก็บคลีนชีตมาได้ตลอด ทั้งการเจอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ต้องเล่น 2 นัด, ทรานเมียร์ โรเวอร์ส และ ดาร์บี้ เคาน์ตี้
โดยทั่วไป เมื่อมองที่การพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม สถิติเกมรับของแมนฯยูไนเต็ด ก็ดีขึ้นมาก หลังพวกเขาเก็บคลีนชีตได้ ถึง 13 นัด จากการลงเล่นทั้งหมด 19 นัดหลัง และไม่แพ้ใครเลย โดยเกมล่าสุดก็เอาชนะ คริสตัล พาเลซ มา 2-0 ในคืนวัน พฤหัสบดีที่ผ่านมา
เกมดังกล่าว VAR ถูกนำมาตั้งคำถามอีกครั้ง หลัง พาเลซ ไม่ได้จุดโทษในเกมนี้ และประตูของ แรชฟอร์ด กับ มาร์กซิยาล ก็ทำให้แมนฯยู ยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นท็อปโฟร์ เพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังเป็นรองเรื่องประตูได้เสีย
พวกเขาต้องลงแข่งขันอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ และถูกเกมก็เหมือนเกมรอบน็อคเอาท์ ที่จะพลาดไม่ได้ โดยเชลซี อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า หลังมีแต้มนำอยู่ 1 แต้ม แต่ก็พลาดไม่ได้ ถ้าหาก เลสเตอร์ ซิตี้ กับ แมนฯยู เก็บชัยชนะได้ทั้งหมด
สิงห์บลู กลับมาเก็บชัยชนะได้อีกครั้งในเกมล่าสุด ด้วยการเฉือนชนะ ทีมที่ตกชั้นไปแล้ว จาก นอริช ซิตี้ เมื่อคืนวันอังคาร โดยได้ประตูชัยจาก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หลังจากที่แมตช์ก่อนหน้านั้น พวกเขาพลาดท่าพ่ายต่อ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไป 0-3
ความไม่ต่อเรื่องของเชลซี ในฤดูกาลนี้ ทำให้ ทุกคนยังไม่แน่ใจ เพราะพวกเขามีเกมที่ต้องออกไปเยือน ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์ ขณะที่ แมนฯยูไนเต็ด ก็หายใจได้โล่งขึ้น หลังทีมที่ไล่หลังมาอย่างวูล์ฟ พลาดมา และทำแต้มไล่ไม่ทันแล้ว ในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ความไม่สม่ำเสมอของเชลซี คงพูดถึงไม่ได้ เพราะในเอฟเอ คัพ พวกเขาชนะมา 11 จาก 12 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดที่พวกเขาพบกัน คือเกมรอบชิงชนะเลิศ ในปี 2017 และเป็นเชลซี ที่คว้าแชมป์ไปครองด้วยการเอาชนะ แมนฯยู เมื่อ 2 ปี ก่อน
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น โดย แมนฯยู เป็นทีมเดียวที่ชนะ เชลซี ในรอบ 5 ได้ เมื่อปีก่อน แต่รายการนี้ คือรายการโปรดของเชลซี เลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์ หลังพวกเขา คว้าแชมป์ไปครองถึง 5 สมัย จาก 13 ปีหลัง
เชลซี ผ่านทีมอย่าง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ฮัลล์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ เลสเตอร์ มาได้ในฤดูกาลนี้ และเสียเพียงแค่ ประตูเดียวตลอดเส้นทางจนถึงรอบรองชนะเลิศ
โดยเกมล่าสุดพวกเขาได้ รอสส์ บาร์คลีย์ ยิงประตูชัย ให้พวกเขาผ่านจิ้งจอก และนี่ถือเป็นประตูที่ 3 ของเจ้าตัวในเอฟเอ คัพ จากการยิงทั้งหมด 7 ประตูในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม แลมพาร์ด ไม่ค่อยโอเคกับผลงานของทีมในครึ่งแรกเท่าไหร่นัก หลังพวกเขามักจะเปลี่ยนตัว 3 คน ตั้งแต่พักครึ่ง นั่นเป็นสัญญาณว่าพวกเขายังต้องแก้ไขอะไรอีกมาก และพวกเขาอาจจะสูญเสียโฟกัส เพราะมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายหลักคือการได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก
ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม
แมนฯยูไนเต็ด มีความกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของ กองหลังพอสมควร โดย อาเซล ตวนเซเบ้ และ ฟิล โจนส์ คือ 2 รายที่ไม่พร้อมในช่วงก่อนหน้านี้ ขณะที่ แบ็คซ้าย อย่าง ลุค ชอว์ และ แบรนดอน วิลเลียมส์ ต้องเช็๕อีกครั้ง
ชอว์ มีอาการข้อเท้าบิดในเกมกับ เซาแธมป์ตัน และอาจจะส่งผลกระทบต่อเอ็นข้อเท้าด้วย และต้องรอเวลาเพื่อกลับมาลงสนามอีกครั้ง ขณะที่ วิลเลียมส์ ก็มีแผลเกิดขึ้นบนใบหน้าอีก
โดยรายหลังถือว่าไม่น่ากังวลเท่าไหร่ นั้นหมายความว่า เขาน่าจะกลับมาเป็นตัวจริงให้กับ โซลชาอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้ ธิโมธี โฟซู เมนซาห์ ได้โอกาสเป็นตัวจริงในเกมกับ คริสตัล พาเลซ
และการมองข้าม ดีโอโก้ ดาโลต์ ทำให้เขาน่าจะหมดอนาคตกับสโมสรแล้ว แต่ในเอฟเอ คัพ อาจจะให้โอกาสเขาและอีกหลายคน ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เพราะคาดว่าน่าจะมีนักเตะหลายคนได้พัก หลังจากต้องกรำศึกหนักในพรีเมียร์ลีกมา
โดย โอเดียน อิกาโล่ เป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยเขาสามารถทำคะแนนได้ทุกนัดเมื่อได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริง
ขณะที่แลมพาร์ด ก็ต้องตัดสินใจว่าเขาจะมีการหมุนเวียนนักเตะหรือไม่ เพื่อรักษาความสดให้กับตัวหลัก ในการสู้ศึกท็อปโฟร์ เพราะพวกเขาได้พักมามากกว่า แมนฯยูไนเจ็ดถึง 2 วัน แต่พวกเขาจะยังไม่มีกองกลางอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ บิลลี กิลมัวร์
โดยนักเตะอย่าง บาร์คลีย์, แทมมี อบราฮัม, คัลลัม ฮัดสัน โอดอย และ เมสัน เมาท์ น่าจะได้โอกาสเป็นตัวจริง เช่นเดียวกับ ฟิกาโย โทโมริ ที่พร้อมอีกครั้งหลังจากหายจากอาการบาดเจ็บ
นั้นหมายความทั้งสองทีม น่าจะใช้ประตูมือสองเฝ้าเสาทั้งคู่ และเป็นคู่จากอาร์เจนตินา อย่าง เซร์คิโอ โรเมโร และ วิลลี กาบาเยโร
คาดการณ์ 11 ตัวจริง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โรเมโร – ดาโลต์, ไบยี, แมคไกวร์, วิลเลียมส์, มาติช, เฟร็ด, เจมส์, ป็อกบา, แรชฟอร์ด, อิกาโล่
คาดการณ์ 11 ตัวจริง เชลซี
กาบาเยโร – เจมส์, โทโมรี, คริสเตนเซน, เอเมอร์สัน, บาร์คลีย์, จอร์จินโญ, เมาท์, ลอฟตัส ชีค, อบราฮัม, ฮัดสัน โอดอย
สถิติการพบกันของทั้ง 2 ทีม
นี่เป็นการเจอกันของทั้ง 2 ทีม ครั้งที่ 4 ในฤดูกาลนี้แล้ว และเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะมาหมดทั้ง 3 ครั้ง โดยในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะไปรวมกันด้วยสกอร์ 6-0 และ ก็เจอกันในรอบน็อคเอาท์ ของ คาราบาว คัพ ด้วยสกอร์ 2-1
ในความเป็นขริง ตอนนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่แพ้เชลซีเลยมา 6 นัดติดในทุกรายการ โดยครั้งสุดท้ายที่เชลซี ชนะ ต้องย้อยไปถึง เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2018
โดยในเอฟเอ คัพ ที่พบกัน 5 ครั้ง เป็นเชลซี ที่ชนะไป 4 ครั้ง แต่ถ้ามองสถิติทั้งหมด เป็นแมนฯยูไนเต็ด ที่ชนะไป 9 ครั้ง ขณะที่เชลซี ชนะไป 5 ครั้ง
คาดการณ์ผล – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชนะ เชลซี 2-1
มันยากที่จะคาดเดาในศึกนี้ เนื่องจากคาดว่าทั้งสองทีมน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงพอสมควร โดยเชลซี มีเวลามากกว่าในการเตรียมตัว แต่เมื่อมองจากฟอร์มแล้ว แมนฯยูไนเด ถือว่าทำได้ดีดีกว่า และไม่แพ้ใครเลยตลอดช่วงที่ผ่านมา นั่นทำให้พวกเขาได้เปรียบ แม้การแข่งขันเกมนี้ จะเกิดอะไรขึ้นได้มากมายก็ตาม
ยูโร-2020
-
ยูโร 2020
/ 3 ปี ที่แล้ว‘เคียร์’ แจงเรื่อง ‘อีริคเซน’ นึกถึงเกือบทุกวัน – กลายเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง
เซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติเดนมาร์ก บอกว่าเหตุการณ์เพื่อนร่วมทีมหัวใจวายกลายเป็นส่วนหนึ่งของตน
โดย mxxn