ปืนใหญ่ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบรองชนะเลิศ หลังน็อค แชมป์เก่า อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และมีลุ้นคว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 14 และอาจจะเป็นถ้วยใบแรกของพวกเขา ในรอบ 3 ปี หลังสุด
เชลซี เองก็แพ้ อาร์เซนอล มาในรอบชิงชนะเลิศ ปีดังกล่าว สามารถจบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก และถือเป็นผลงานอันเยี่ยมยอดสำหรับฤดูกาลแรกของแฟรงค์ แลมพาร์ด
นับตั้งแต่เข้าศตวรรษใหม่ ยังไม่มีทีมไหนที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้มากกว่า อาร์เซนอล และเชลซี นับตั้งแต่ปี 2001 หลังพวกเขาคว้าแชมป์ไปครองรวมกันถึง 11 ครั้ง
โดย ปืนใหญ่ เป็นตัวเต็งในการแข่งขันฟุตบอลรายการที่เก่าแก่ที่สุดรายการนี้เสมอ และครั้งนี้พวกเขาก็มีโอกาสที่จะรักษาสถิติดังกล่าว
ทีมยกระดับขึ้นมาก นับตั้งแต่ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาแทนที่ อูไน เอเมรี ในช่วงเดือนธันวาคม แต่ฟอร์มที่ไม่แน่นอนทำให้ ปืนใหญ่ จบที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก
นั่นทำให้นี่เป็นฤดูกาลที่แย่ที่สุดของอาร์เซนอล ในรอบ 25 ปี เลยก็ว่าได้ และฟุตบอลถ้วยอีก 2 รายการ พวกเขาก็ตกรอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเกมนี้จะถือเป็นเกมตัดสินของทีมจากลอนดอนเหนือ เพราะชัยชนะในเกมนี้ สำหรับพวกเขามีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านปอนด์ เพราะนั่นหมายความว่า พวกเขาจะได้ไปเล่น ยูโรป้า ลีก รอบแบ่งกลุ่ม โดยอัตโนมัติทันที
และนั่นคือความสำคัญ ที่จะทำให้พวกเขาต้องตัดสินใจว่า จะสามารถเก็บ หรือ ปล่อยตัว ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง กัปตันทีม เช่นเดียวกับ การคว้าตัว ดานี เซบาญอส มาร่วมทีม
อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอล คอรงความได้เปรียบเล็กน้อย เพราะพวกเขามีสถิติที่ดี หากได้เข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ
พวกเขาชนะได้ถึง 8 จาก 9 ครั้งที่ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ยังเป็นรองท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ที่เคยได้แชมป์ 6 ครั้งจากการเข้าชิงชนะเลิศทั้งหมด 7 ครั้งในช่วงปี 1901 และ 1982
อย่างไรก็ตาม ความกังวลของอาร์เซนอล ก็คือเชลซี นั้นกำลังอยู่ในฟอร์มที่เยี่ยมเช่นกัน และอาจจะมีความกระหายที่จะคว้าแชมป์
เพราะนี่ถือเป็นครั้งที่ 9 แล้ว ที่เชลซี ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ นับตั้งแต่ปี 1997 โดยในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาผ่าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ โดยตลอด 9 ครั้ง พวกเขาคว้าแชมป์ไปได้ทั้งหมด 7 ครั้ง
แต่ความพ่ายแพ้ 2 ครั้งในรอบชิงชนะเลิศนั้นเป็น อาร์เซนอล ที่เอาชนะพวกเขา ในปี 2002 และเมื่อ 3 ปีก่อน โดยปืนใหญ่ได้ประตูชัยจาก อารอน แรมซีย์
เชลซี มีความกดดันน้อยกว่าคู่แข่งร่วมเมืองหลวง หลังจากที่ในลีกเกมล่าสุด พวกเขาทำได้ดีเยี่ยมภายใต้การคุมทีมของ แลมพาร์ด ในปีแรก
และนี่ถือเป็นปีที่สองของเขาเท่านั้นในฐานะ ผู้จัดการทีม ที่พวกเขาต้องเจอปัญหามากมาย ทั้งการห้ามซื้อนักเตะเสริมทีม รวมถึง ต้องเสียเอเด็น อาซาร์ แต่เขาก็สามารถพาทีมคว้าอันดับ 4 พร้อมคว้าสิทธิ์ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก
หากไม่ได้มองถึงการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในสัปดาห์หน้าที่พวกเขาแพ้มาก่อน 0-3 นั่นแปลว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเขาจะสามารถคว้าแชมป์ได้
อย่างไรก็ตามการจบอันดับ 4 ในพรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบัน มันมีคุณค่าเปรียบเสมือนกับการคว้าถ้วยแชมป์ เพราะมันสำคัญที่ทำให้ เชลซี สามารถซื้อนักเตะมาร่วมทีมได้ง่ายขึ้น
ฮาคิม ซิเยค และ ติโม แวร์เนอร์ คือ นักเตะ 2 ราย ที่จะย้ายมาอยู่กับเชลซี ในฤดูกาล 2020/21 แต่ตอนนี้ พวกเขามีภารกิจที่ต้องผ่านอาร์เซนอลไปให้ได้ เพื่อคว้าแชมป์แรก ในรอบ 15 เดือน
แชมป์รายการล่าสุดของพวกเขาก็คือ ยูโรป้า ลีก 2019 ที่แข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ที่เมืองบากู ซึ่งเป็นคู่แข่งทีมเดียวกับที่พวกเขาจะต้องเจอในวันเสารนี้
ดังนั้นไม่น่าเชื่อว่านี้ จะเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ฤดูกาลหลังสุดท้าย ที่ อาร์เซนอล ต้องเจอ เชลซี เป็นการปิดท้ายฤดูกาล
โดยในรอบชิงชนะเลิศ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ มีหลากหลายสิ่ง แต่ตอนนี้ มันเหมือนอีกหนึ่งบทของการต่อสู้ระหว่าง 2 กุนซือหน้าใหม่แห่งวงการฟุตบอล
ความพร้อมของทั้ง 2 ทีม
อาร์เซนอล มีนักเตะ ที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวหลายราย ทั้ง ชโคดราน มุสตาฟี ที่เจ็บ แฮมสตริง จากรอบรองชนะเลิศ และจะพักไปจนถึงเดือนตุลาคม และนอกจาก มุสตาฟี แล้ว ยังมี กาเบรียล มาร์ติเนลลี, คาลัม แชมเบอร์ส และ พาโบล มารี ขณะที่ แบรนด์ เลโน น่าจะยังไม่ฟิตเต็มร้อย และไม่น่าจะได้เป็นตัวจริงในวันเสาร์
ขณะเดียวกัน อาร์เตต้า น่าจะยังมองข้าม 2 นักเตะอย่าง มัตเตโอ เกนดูซี และ เมซุต โอซิล แม้จะมีนักเตะให้เลือกค่อนข้างจำกัดก็ตาม เนื่องจากพวกเขากำลังทำได้ดี ในการเล่นระบบ 3-4-3 โดยเฉพาะเกมที่กับ แมนฯซิตี้ รอบรองชนะเลิศ ที่พวกเขาทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
โดยคาดว่า ในสุดสัปดาห์นี้ คีแรน เธียร์นีย์ น่าจะได้ เป็นหนึ่งใน 3 กองหลัง ส่วน บูกาโย ซาก้า น่าจะโดนดันไปเล่นในตำแหน่งวิงแบ็คซ้าย
ส่วน เชลซี มีนักเตะที่เจ็บอยู่ไม่กี่ราย และน่าจะเป็นแค่ บิลลี กิลมัวร์ คนเดียวที่พลาดลงสนามในเกมนี้ ขณะที เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ไม่ได้ลงเล่นมา 6 เกม ยังต้องเช็คอีกครั้ง
แต่ล่าสุดก็องเต้สามารถกลับมาซ้อมได้แล้ว แต่น่าจะต้องเป็นตัวสำรองของ จอร์จินโญ, มาเตโอ โควาซิช และ เมสัน เมาท์ ในแผงมิดฟิลด์
ขณะเดียวกัน แลมพาร์ด ยังมีตัวเลือกที่สามารถเล่นในระบบ หลัง 3 เหมือนกับ อาร์เซนอล นั่นหมายความ มาร์กอส อลอนโซ และ รีซ เจมส์ น่าจะโดนจับไปเล่นวิงแบ็ค
ส่วนตำแหน่งสำคัญที่มีการพูดถึงอย่างมากก็คือ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า ที่โดนดร็อปในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา ถ้าเกมนี้ แต่มีโอกาสสูงที่แลมพาร์ด จะใช้ วิลลี กาบาเยโร เป็นตัวจริง ในขณะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ก็น่าจะได้โอกาสเผชิญหน้ากับทีมเก่า
ชิรูด มีสิทธิ์เป็นนักฟุตบอลคนที่ 2 ที่ยิงประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ให้กับ 2 ทีมที่แตกต่างกัน หลังจากที่เขาเคยซัดประตู พาอาร์เซนอล คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 2015 ด้วยการชนะ วิลล่าไป 4-0
คาดการณ์ 11 ตัวจริง อาร์เซนอล
มาร์ติเนซ, โฮลดิ้ง, ลุยซ์, เธียร์นีย์, เบเยริน, เซบาญอส, ชาก้า, ซาก้า, เปเป้, ลากาแซตต์,โอบาเมยอง
คาดการณ์ 11 ตัวจริง เชลซี
กาบาเยโร, อัซปิลิกวยต้า, รูดีเกอร์, คริสเตนเซน, อลอนโซ, จอร์จินโญ, โควาซิช, เมาท์, ฮัดสัน โอดอย, พูลิซิช, ชิรูด์
ผลการเจอกันของทั้ง 2 ทีม
เชลซี ชนะแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากการเจอกับ อาร์เซนอล ทั้งหมด 13 ครั้งในเกมเอฟเอ คัพ โดยครั้งล่าสุดต้องย้อนไปถึงเกมรอบรองชนะเลิศ ที่พวกเขาชนะไป 2-1 ในปี 2009 โดยได้ประตูจาก ฟลอรองต์ มาลูด้า และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา
แรมซีย์ คือฮีโร่ของอาร์เซนอล คนล่าสุดในนัดชิงชนะเลิศ เมื่อปี 2018 ขณะที่ เฟรดดี้ ลุงเบิร์ก และ เรย์ พาร์เลอร์ ก็ทำได้ดี ในการยิงประตูใส่เชลซี ในปี 2002 ในนัดชิงที่คาร์ดิฟฟ์
แต่การเจอกัน 10 ครั้งหลังสุด ของทั้งสองทีม สิงห์บลู แพ้ไปเพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น อย่างไรก็ตามในเกมลีก ฤดูกาลนี้ ในเดือนธันวาคม เชลซี ชนะมาก่อน 2-1 โดยได้ประตูจาก จอร์จินโญ และ แทมมี อบราฮัม และเสมอกัน 2-2 เมื่อ 6 เดือนก่อน
คาดการณ์ผล : อาร์เซนอล ชนะ เชลซี 2-1
ด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาทั้งหมดก่อนเกมวันเสาร์นี้ นี่ถือเป็นนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่แข่งขันกันช้าที่สุด
ในหลายๆ อย่างมันเป็นปีที่แตกต่างออกไป และมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะแข่งขันรายการที่เก่าแก่ที่สุด
ทั้ง 2 ทีมต่างมีสถิติที่ดีในเกมนัดชิงชนะเลิศ แต่เชลซี เก็บคะแนนได้มากกว่า อาร์เซนอล 10 แต้ม ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เอฟเอ คัพ ถือเป็นของโปรดของอาณ์ฌซนอลอยู่เสมอ และเราน่าจะได้เห็นเกมสุดมันในการแข่งขันนัดนี้
ยูโร-2020
-
ยูโร 2020
/ 3 ปี ที่แล้ว‘เคียร์’ แจงเรื่อง ‘อีริคเซน’ นึกถึงเกือบทุกวัน – กลายเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง
เซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติเดนมาร์ก บอกว่าเหตุการณ์เพื่อนร่วมทีมหัวใจวายกลายเป็นส่วนหนึ่งของตน
โดย mxxn