หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันฟุตบอล ยูฟ่า เนชันส์ ลีก ลงไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงคิวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่จะกลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง

บางสโมสรลงทุนอย่างหนักในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเชลซี และถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการเพิ่มจำนวนทีมที่มีลุ้นแชมป์ หลังจากที่ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แย่งกันมาตลอดในช่วง 2 ปีหลัง

ขณะเดียวกัน ยังมีทีมหน้าเก่าๆ ที่กลับมาทั้งในส่วนของ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน, ฟูแล่ม และ ลีดส์ ยูไนเต็ด และแต่ละทีมต่างก็มีกองหน้าระดับท็อป และการคว้าตัวนักเตะใหม่ๆมาเสริมทีม

ใครจะคว้าแชมป์ ใครจะตกชั้น อะไรคือตัวกำหนด แต่ละทีมวางเป้าหมายอย่างไรสำหรับฤดูกาลที่จะถึงนี้ เรามีทุกอย่าง เพื่อให้คุณพร้อมเดินทางในพรีเมียร์ลีกไปกับเรา

ลิเวอร์พูล ยังเป็นตัวเต็ง หรือ มีความมหัศจรรย์แค่ฤดูกาลเดียว

ลิเวอร์พูล กำลังขึ้นไปแตะบนยอดเขา ที่ดูเหมือนง่าย และถือเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งแรกในรอบ 30 ปี มาครองได้สำเร็จ ในฤดูกาลที่ผ่านมา

เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม เขียนประวัติศาสตร์ให้ลิเวอร์พูล อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ลีกในประเทศเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1990 แต่การเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัส ทำให้การแข่งขันต้องหยุดชะงักลง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความท้าทายครั้งใหม่ที่ลิเวอร์พูล จะต้องเผชิญนั้นยากกว่าการคว้าแชมป์ครั้งแรก แม้พวกเขาจะประสบความสำเร็จในฤดูกาลที่แล้วก็ตาม

ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ได้ยกระดับขึ้นมาแล้ว และพวกเขาจำเป็นต้องรักษามาตรฐานให้ได้ ปัญหาเดียวคือพวกเขาดูนิ่งเกินไป และไม่สามารถฉกฉวยโอกาสหลังประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะเมื่อคุณยืนอยู่บนจุดสูงสุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ต่างเดินหน้าเสริมทีม โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญๆ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพื่อลดช่องว่างของพวกเขากับลิเวอร์พูลลงไป

แต่ลิเวอร์พูล กลับเสริมนักเตะแค่คนเดียวเท่านั้น คือแบ็คซ้าย ที่จะเข้ามาเป็นตัวสำรองของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน

และในการแข่งขันฟุตบอล คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ต่ออาร์เซนอล เป็นตอกย้ำว่า ลิเวอร์พูล จะเป็นต้องเปลี่ยนแปลง และหาเลือดใหม่มาเสริม ทีมของคล็อปป์ ยังคงเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรป ก็จริง แต่ขนาดของทีมถือเป็นปัญหา เพราะมันคาดเดาได้ง่ายว่า ใครจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

ความผิดพลาดเหล่านั้น อาจจะลงโทษลิเวอร์พูล เริ่มตั้งแต่การไม่ได้ตัว ติโม แวร์เนอร์ มาเสริมทีม และตอนนี้ก็ยังไม่สามารถปิดดีลกับ ติอาโก้ อัลคันทาร่า

ทีมของคล็อปป์ จะเป็นหนึ่งในทีมเต็งที่มีลุ้นแชมป์แบบไม่มีคำถาม แต่การไม่มีนักเตะใหม่มาเสริมทีม อาจจะทำให้เขาคาดความท้าทาย ในการรักษามาตรฐาน ระดับสูง

สิ่งที่คาดหวังจาก พูลิซิช ในปีที่ 2 ที่เชลซี

สำหรับ เชลซี คริสเตียน พูลิซิช น่าจะมีโอกาสทำประตูมากมายในฤดูกาลนี้ และจำนวนประตูที่มากขึ้น รวมถึง แอสซิสต์ น่าจะช่วยให้ทีมมีโอกาสไล่ล่าถ้วยรางวัล แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ อาการบาดเจ็บของเขา

ในช่วงก่อนปีใหม่ ดาวเตะชาวอเมริกัน มีอาการบาดเจ็บที่สะโพก และเขาก็ไม่ได้ลงสนามเลย จนการแพร่ระบาดของไวรัสเริ่มต้นขึ้น ในเดือนมีนาคม และล่าสุด เขายังต้องรักษาอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายที่ได้จากเกม นัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ

อาการบาดเจ็บดังกล่าว อาจจะทำให้เขาไม่ฟิตพร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่ แต่แหล่งข่าวใกล้ชิดรายงานว่า ในสัปดาห์นี้ เขาน่าจะกลับมาซ้อมได้อีกครั้ง เราได้แต่หวังว่า เขาจะสามารถระเบิดฟอร์มได้เหมือนช่วงท้ายฤดูกาลก่อน และน่าจะทำให้เขาเข้าใกล้การเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก

จริงอยู่ที่การแข่งขันชิงตำแหน่งในทีมเชลซี มักจะดุดเดือนอยู่เสมอ แต่ในแผงแนวรุกของไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย และในปี 2020 มันน่าจะเพิ่มความดุเดือดเพิ่มขึ้น แม่จะต้องเสียเปโดร กับ วิลเลียนไป แต่ ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ ฮาคิม ซิเยค ก็ย้ายมาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และ อาแจ็กซื ด้วยค่าตัวรวมกันสูงถึง 130 ล้านดอลลาร์ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีนักเตะคนอื่นๆ ที่พร้อมจะสู้อย่าง คัลลัม ฮัดสัน โอดอย, เมสัน เมาท์ และ รูเบน ลอฟคัส ชีค เมื่อ พูลิซิช ฟิตกลับมาพร้อมลงสนาม จะต้องเจอกับ ความท้าทายเหล่านี้ ในการสร้างสิงห์บลูขึ้นมาอีกครั้ง

การเข้ามาของฮาเวิร์ตซ์ และ ซิเยค รวมถึง ติโม แวร์เนอร์ ที่เป็นกองหน้าระดับโลก ต่างก็มีโอกาสที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ และน่าจะทำให้ พูลิซิช มีพื้นที่มากขึ้นในการเล่น ฮาเวิร์ตซ์ ตอนอยู่ เลเวอร์คูเซน ส่วนใหญ่เขามักจะได้รับบทบาทเป็น เพลย์เมกเกอร์ ตัวกลาง และน่าจะทำให้ พูลิซิช มีอิสระ นอกจากนี้ ยังมีซิเยค ที่พร้อมจะปักหลักเป็นปีกอีกฝั่งหนึ่ง สมมติว่า พูลิซิช มีร่างกายที่สมบูรณ์ เราน่าจะได้เห็นเกมรุกอันทรงคุณภาพ และทำให้เขาพัฒนาฝีเท้าขึ้นไปอีกได้

เราจะได้เห็น 4 ทีมน่าเดิม ในพื้นที่ท็อปโฟร์ หรือไม่

ฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นสองทีมที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก และมีแนวโน้มว่าจะทำให้มาตรฐานการเป็นแชมป์นั้นสูงขึ้นไปอีกระดับ ความสม่ำเสมอ ที่พวกเขาแสดงออกในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า พวกเขาน่าจะแข่งขันกันอีกครั้ง เพื่อชิงตำแหน่ง 2 อันดับแรก แต่นอกจากนั้น เชลซี ก็เป็นอีกทีมที่น่าจับตาจากการเสริมทีมในช่วงซัมเมอร์ หากนักเตะใหม่ ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาน่าจะพร้อมในการท้าทาย สองอันดับแรก

ขณะที่การเข้ามาของ บรูโน แฟร์นานเดส จากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดูดีขึ้นทันตาในช่วงเลกสองของฤดูกาลที่แล้ว หากพวกเขารักษาความสม่ำเสมอ ได้ตลอดทั้งฤดูกาล การจบ 4 อันดับแรก ก็ดูไม่น่าจะมีปัญหา

อาร์เซนอล, สเปอร์ส และ เลสเตอร์ เองก็พร้อมท้าทายตำแหน่งไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีก โดยเฉพาะ อาร์เซฯอล และ สเปอร์ส ที่ฤดูกาลที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนโค้ชกลางคัน อาร์เซนอล แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถเอาชนะทีมที่ดีที่สุดภายใต้การคุมทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ได้ และ โชเซ่ มูรินโญ ก็เข้ามาจัดระเบียบ สเปอร์ศ ได้ดี

4 อันดับ แรก เมื่อฤดูกาลก่อนต่างต้องการรักษาพื้นที่ของตัวเอง แต่ทีมอื่นๆ ก็พร้อมจะท้าทาย

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะทำได้ดีกว่า การชิงตำแหน่ง ท็อปโฟร์ หรือไม่

ฤดูกาลนี้ ความท้าทายสำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือการพูดให้น้อยกว่าการลงมือทำ สำหรับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา การตกรอบรองชนะเลิศ 3 รายการ และจบอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลก่อน แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า แต่งานตอนนี้คือพวกเขาต้องก้าวไปอีกขั้น ตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีม ในเดือนธันวาคม 2018 โซลชา พูดเสมอว่า พวกเขาต้องการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ และจำเป็นต้องใช้เวลา แต่สิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้ก็คือการคว้าแชมป์มาครองให้ได้ โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก

การเข้ามาของ บรูโน แฟร์นานเดส เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้แมนยูไนเต็ด เค้นฟอร์มที่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาจะต้องทำให้ได้ทั้งฤดูกาล หากเขาต้องการกลับไปยังจุดที่พวกเขาเคยอยู่สมัย เซอร์ อเล็ฏซ์ เฟอร์กูสัน

ดอนนี ฟาน เดอ บีค กองกลางจากอาแจ็กซ์ ถือเป็นการเสริมทีมที่ดี ในแผงมิดฟิลด์ แต่ยังมีช่องว่างอีกมากมาย ที่ต้องถูกเติมเต็ม และการลดช่องว่างระหว่าง แมนยู”นเต็ด กับ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับว่าตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ พวกเขาทำได้ดีแค่ไหน ก่อนที่มันจะปิดตัวลงในวันที่ 5 ตุลาคม และอาจจะต้องเสริมจำนวนมากขึ้น เหมือนกับที่เชลซีทำ

การเริ่มต้นของ แมนยูไนเต็ด ถือว่าสำคัญมาก พวกเขามักจะเริ่มต้นได้ดี แต่มันมีคำถามมากมาย ว่าในแชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้หรือไม่ และในลีก จะไล่กดดัน ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ซฺตี้ อย่างไร หากออกตัวไม่ได้ โซลชา อาจจะต้องเจอคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของเขา โดยเฉพาะช่วงคริสมาสต์

การครองอำนาจของทีมจากลอนดอนเหนือ

อาร์เซนอล กับ สเปอร์ส ถือเป็นไม่เบื่อไม้เมากันมาตลอด และความสม่ำเสมอ ถือเป็นกุญฉจสำคัญ ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในย่านลอนดอนเหนือ ในขณะที่ทั้ง มิเกล อาร์เตต้า และโชเซ มูรินโญ ได้อยู่กับทีมในช่วงออกตาร์?ทั้งคู่

การคว้าแชมป์มาครองได้ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ฤดูกาลที่ผ่านมา ถือเป็นอันดับที่แย่ที่สุดของพวกเขาในรอบ 25 ปี ของอาร์เซนอล การคว้าตัวนักเตะประสบการณ์สูง อย่าง วิลเลียน น่าจะช่วยอาร์เซนอลให้อาร์เซนอล แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่การเลือกประตูมือหนึ่ง 2 คน อย่าง แบรนด์ เลโน และ เอมิเลียโน มาร์ติเนซ น่าจะทำให้อาร์เซนอล ดูมีความน่าสนใจ การต่อสัญญา บูกาโย ซาก้า ถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ยังต้องมองถึง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ที่ตอนนี้ยังไม่ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาคือกุญแจสำคัญในการพาอาร์เซนอล ประสบความสำเร็จ

ขณะที่ มูรินโญ แม้จะมีการจัดการทีมที่เข้มงวด แต่ฤดูกาลที่แล้วถือเป็นปีที่พลิกผันอย่างมากสำหรับสเปอร์ส แต่พวกเขาก็เริ่มดูมีความหวัง หากดูจากการเสริมทีมในช่วงซัมเมอร์ โดยมูรินโญได้เลือกนักเตะที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกสูงอย่าง ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก ที่มาจากเซาแธมป์ตัน, แมตต์ โดเฮอร์ดี้ แนวรับของ วูล์ฟ และประตูตัวเก๋า อย่าง โจ ฮาร์ท มูรินโญ ได้รับโอกาสคุมทีม เพื่อถ้วยรางวัล หลังจากที่เขาการันตีเรื่องนี้ตลอดไม่ว่าจะไปที่ไหน และการได้เล่นในยูโรป้า ลีก อาจจะทำให้สเปอร์ส มีสมาธฺมากขึ้น

มันยากที่จะมองข้ามความตื่นเต้นที่ อาร์เตต้า นำเข้ามาให้กับ อาร์เซนอล มันเป็นพลังในด้านบวกอย่างมาก หากเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ มูรินโญ ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้ง ถือเป็นสีสัน และน่าจะนำสเปอร์ส รวมถึงปืนใหญ่ อยู่ในตำแหน่งที่ดี

ทีมน้องใหม่ จะทำตามเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ได้หรือไม่

พวกเขากำหนดมาตรฐานสำหรับทีมน้องใหม่ขึ้นมา และถือเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์มาก สำหรับฤดูกาลแรกของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในปีที่ผ่านมา หลังจบด้วยการเป็นอันดับ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งน้องใหม่อย่าง เวสต์บรอม และ ฟูแล่ม ต่างมีประสบการณ์ในลีกสูงสุดมาแล้ว โดย เวสต์บรอมนั้น จบอันดับสุดท้ายในลีก เมื่อปี 2018 ส่วนฟูแลม เป็นเหมือนกันในปี 2019 ส่วนการกลับมาของลีดส์ ทุกคนต่างคาดหวังและให้กำลังใจสำหรับการกลับมาเล่นในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2004 ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล เบียลซา โดยลีดส์ มีผู้จัดการทีมที่สร้างความเชื่อมั่นในระบบ และไม่เกรงกลัวใคร การได้ตัว โรดริโก้ กองหน้าทีมชาติสเปน จากบาเลนเซีย ในช่วงซัมเมอร์ ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เชื่อว่าเขาน่าจะมีส่วนร่วมในการทำประตูให้กับทีม 15 ลูก เป็นอย่างน้อย – กองหลังจากไฟร์บวร์ก อย่าง โรบิน คอช ถือเป็นดีลที่ฉลาด ในขณะเดียวกันพวกเขายังยืมตัว แจ็ค แฮร์ริสัน ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจ จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้

คัลวิน ฟิลลิปส์ ได้รับการยอมรับ หลังถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ ในยูฟ่า เนชันส์ ลีก ขณะที่ ปาโบล เอร์นานเดซ ยังคงเป็นอมตะ ดังนั้นคาดว่าเราจะได้เห็นลีดส์ ชุดนี้ วิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง ไปพร้อมกับ เอล โลโค เพื่อทำให้พวกเขามั่นใจว่าไม่ทิ้งอะไรไว้ในสนาม

เวสต์บรอม ก็มีการเสริมทีมที่ดี และ ฟูแลม ก็มีนักเตะหลายคนที่มีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีก แต่ทั้ง 2 ทีมอาจจะมีปัญหาในเรื่องขุมกำลัง ไม่แตกต่างจาก ลีดส์ ของเบียลซา

ใครจะคว้ารองเท้าทองคำไปครอง

เมื่อพูดถึงดาวซํลโวของพรีเมียร์ลีก คำถามในฤดูกาลนี้มีอีกครั้ง คือจะมีดาวยิงหน้าใหม่ หรือจะเป็นสตาร์หน้าเดิมๆ ในฤดูกาลที่ผ่านมา เจมี วาร์ดี้ ของเลสเตอร์ คว้ารางวัลไปครองหลังยิงไป 23 ประตู เหนือกว่า ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง กองหน้าอาร์เซนอลเพียงประตูเดียว ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็เคยคว้ารางวัลดาวซัลโว ร่วมกับ คู่หู โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ของลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลก่อน

หลังจากมีฤดูกาลที่น่าทึ่ง ซาลาห์ คว้ารองเท้าทองคำมาครองคนเดียว ในปี 2018 โดยปีนั้นเขาชนะแฮร์รี เคน หลังยิงไป 29 ประตู ส่วนฝ่ายหลังทำไป 25 ประตู ใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ยังมี ดาวยิงตลอดกาลของแมนซิตี้ อย่าง เซร์คิโอ อเกวโร ที่ยังรักษามาตรฐานได้ดีในตลอดช่วงหลัง

ใครบางคนจะฝ่านักเตะจากทีมระดับท็อป 6 ได้บ้าง

แดนนี อิงส์ ของ เซาแธมป์ตัน เข้าใกล้มาเมื่อฤดูกาลก่อน หลังยิงไป 22 ประตู และเขาจะสามารถทำได้ดีกว่านั้นหรือไม่ หรือนักเตะใหม่ของเชลซี ติโม แวร์เนอร์ จะสอดแทรกเข้ามา หรือ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่แมนซิตี้ ล่ะ หรือ อองโธนี มาร์กซิยาล จาก แมนยูไนเต็ด หรือ ราอูล ฆิเมเนซ ของ วูล์ฟ จะยกระดับจาก 17 ประตูในเกมลีก เมื่อปีก่อน หรือ จะมีเซอร์ไพรส์ ครั้งใหญ่จาก โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ของเอฟเวอร์ตัน, อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช (ฟูแล่ม), โรดริโก้ (ลีดส์ ยูไนต็ด) หรือ คัลลัม วิลสัน (นิวคาสเซิล) ที่จะเป็นเหมือน เควิน ฟิลลิปส์ ที่ทำไป 30 ประตูให้ซันเดอร์แลนด์ ในฤดูกาล 1999/2000

ใครก็ตามที่ได้รางวัลดังกล่าว ต่างก็หวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมา ซาลาห์ ทำไป 32 ประตู ในฤดูกาล 2018/19 ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุด นับตั้งแต่ที่ อลัน เชียเรอร์ และ แอนดี้ โคล ทำไป 34 ประตู ในปี 1994 และ 1995 ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีเพียง ฟิลลิปส์ (2000), เธียร์รี อองรี (2003), คริสเตียโน โรนัลโด้ (2008), โรบิน ฟาน เพอร์ซี (2012) และ หลุยส์ ซัวเรซ 2014 และ ซาลาห์ ที่ยิงได้มากกว่า 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว มันแน่นอนว่าการแข่งขันชิงรองเท้าทองคำจะเป็นอีกศึกที่น่าตื่นเต้น

เราคาดหวังอะไรจาก มาร์เซโล เบียลซา ได้บ้าง

สิ่งเดียวที่เราคาดหวังได้จาก ลีดส์ ยูไนเต็ด และ มาร์เซโล เบียลซา ในฤดูกาลนี้ก็คือความคาดไม่ถึง หลังจากที่ห่างกายจาก ลีกสูงสุดไปนานถึง 16 ปี ลีดส์ ได้กลับมาอีกครึ่งซึ่งหลายคนเชื่อว่าพวกเขายังคงเป็นพวกเขา แต่มันต้องการอัจฉริยะที่คาดเดาไม่อย่าง เบียลซา ในการถอดรหัส ในการปลดล็อคพาทีมเลื่อนชั้นจากแชมเปี้ยนชิพ

ลีดส์ คว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ ด้วยการเล่นเบียลซาบอล เคลื่อนที่รวดเร็ว ครองบอล และไปทั่วทั่งสนาม โดยใช้พลังงานที่สูง ฤดูกาลก่อนพวกเขาได้เผชิญหน้ากับ อาร์เซนอล ที่เอมิเรตส์ ในเอฟเอ คัพ รอบ 3 ลีดส์ ของเบียลซา เหนือกว่าเกือบ 1 ชั่วโมง ทั้งที่อยู่ในลีกระดับต่ำกว่า ก่อนจะแพ้เพราะขาดความเก๋า

ถ้าลีดส์ และ เบียลซา ต้องการเอาตัวรอดในฤดูกาลนี้ พวกเขาต้องหาทางทำประตู ในเกมที่พวกเขาครองได้ และการเข้ามาของโรดริโก้ น่าจะเติมเต็มช่องโหว่ของพวกเขา ที่กล่าวว่า เราคาดเดาอะไรจากเบียลซษ ไม่ได้ ด้วยแบรนด์ฟุตบอลของเขา เขาจะนำรสชาติที่แตกต่างมาสู๋พรีเมียร์ลีกอย่างแน่นอน และเป็นการผจญภัยในลีกชั้นนำ และเบียลซา จะก้าวต่อไปได้หรือไม่ เพราะประวัติของเขาแย่มากในลีกระดับสู. หลังจากที่ออกจาก ลาซิโอ ทั้งที่คุมทีมได้ 2 วัน หรือ มาร์กเซย์ ที่คุมแค่เกมเดียวในปีที่ 2 ของตัวเอง และมีเวลาไม่ถึง 6 เดือน กับ ลีลล์ ดังนั้นเวลาจะเป็นตัวบอกว่าเาควรอยู่ลีดส์ต่อไปหรือไม่ และสามารถสร้างอะไรในพรีเมียร์ลีกได้บ้าง